ประเภทอัญมณีตามความแข็ง (Hardness)

แร่ทุกชนิดมิใช่ว่าจะเป็นอัญมณีได้ เพราะอัญมณีจะต้องเป็นวัตถุที่สวยงาม หายากและมีความคงทน และเหมาะสำหรับทำเป็นเครื่องประดับ ด้วยเหตุนี้แร่ที่มีอยู่จำนวนกว่า 3,000 ชนิด จะมีเพียงประมาณ 100 ชนิด ที่สามารถใช้เจียระไนและขัดมัน หรือแกะสลักสำหรับใช้ทำเป็นเครื่องประดับหรืออัญมณี

           ฉะนั้นคำว่า "อัญมณี" ก็คือแร่ธาตุที่มีความสวยงาม ซึ่งอาจเกิดจากสารอินทรีย์ (Organic) หรือสารอนินทรีย์ (Inorganic) ก็ได้ สามารถนำมาเจียระไนและขัดมัน หรือ แกะสลักเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับ ดังนั้นคุณสมบัติที่จะจัดเป็น "อัญมณี" จะต้องประกอบด้วย

  1. ความสวยงาม (Beauty)
  2. ความหายาก (Rarity)
  3. ความคงทน (Durability) ซึ่งแบ่งเป็น
    • ความแข็ง (Hardness)
    • ความเหนี่ยว (Toughness)
    • ความทนทาน (Stability)

ความแข็ง (hardness) หมายถึง ความทนทานของแร่ต่อการขีดข่วนให้เป็นรอย เราวัดความแตกต่างความแขงของเพชรพลอยและแร่ต่างๆได้โยใช้มาตรฐานการวัดของโมหส์ (Moh's Scale) ผู้ค้นพบคือ "เฟรดริซ โมหส์" (Fredrich Mohs) ชาวออสเตรเลีย ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักวิชาการแร่ทั่วไปเป็นเวลามากกว่า 150 ปีโดยเริ่มจากหน่วย 10 ถึง 1 ซึ่งหมายถึงความแข็งมากที่สุดถึงน้อยที่สุด

ความแข็ง แร่
10 เพชร (Diamond)
9  คอรันดัม (Corundum)
8 โทแพส (Topaz)
7 ควอทซ์ (Quartz)
6 ออร์โธเคลส (Orthoclase)
5 อะพาไทท์ (Apatite)
4 ฟลูออไรท์ (Fluorite)
3 คาลไซด์ (Calcite)
2 ยิปซัม (Gypsum)
1 ทัลค์ (Talc)

        พลอยที่มีความแข็งมากกว่า จะสามารถขูดพลอยที่มีความแข็งน้อยกว่าให้เป็นรอยได้ แต่พลอยที่มีความแข็งน้อยกว่า จะขูดขีดพลอยที่มีความแข็งมากกว่าไม่ได้ส่วนพลอยที่มีแข็งเท่ากันอาจขูดขีดกันเองให้เป็นรอยได้ การทบสอบความแข็งของพลอยที่เจียระไนแล้วถ้าเป็นไปได้ไม่ควรทำนอกจากเป็นการทดสอบขั้นสุดท้าย เพราะพลอยอาจเป็นตำหนิได้ส่วนมากพลอยที่เจียระไนเป็นเหลี่ยมแล้ว ไม่ใช้ความแข็งเป็นการทดสอบ นอกจากอยู่ในลักษณะของพลอยก้อน (Rough)

ความเหนียว (Toughness) หมายถึง ความคงทนต่อการแตก หรือแยกออกเมื่อถูกความกดดัน ความเหนียวเป็นคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของพลอย ซึ่งถ้าบวกกับความแข็งของพลอยด้วยแล้วจะทำให้ตัวพลอยมีความคงทนเป็นอย่างมาก คุณสมบัติของความแข็งและความเหนียวไม่เหมือนกัน เพราะพลอยบางชนิดมีมีความแข็งมากเนื่องจากอะตอมในตัวของมันเกาะกันแน่น แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมีความเหนียวน้อยกว่าพลอยชนิดอื่นที่มีความแข็งน้อยกว่าเสียอีก เช่น เพชรที่มีความแข็ง 10 ส่วนหยกมีความแข็ง 6.5 - 7 แต่เพชรมีความเหนียวไม่เท่าหยก ทั้งนี้เพราะเพชรมีรอยแยกแนวเรียบ (Cleavage) ที่สมบูรณ์ใน 4 ทิศทาง ส่วนในหยกไม่มีรอยแยกแนวเรียบและผลึกในหยกนั้นแกาะตัวกันแน่นมาก จึงทำให้หยกมีคุณสมบัติที่ทนทานมากกว่าเพชร

ความทนทาน (Stability) หมายถึงความคงทนต่อสารเคมีที่สามารถทำให้โครงสร้างของพลอยชำรุดหรือแตกสลาย เช่น กรด แอลกอฮอล น้ำหอม เป็นต้น ส่วนรอยร้าวในโอปอล (Opal) ที่มักเกิดขึ้น เกิดจากการสูญเสียน้ำในตัวมันเอง (เนื่องจากในโอปอลมีส่วนผสมของน้ำปนอยู่)